“สารต้านความแก่” ตราบใดที่มนุษย์ส่วนใหญ่ของโลกยังไม่สามารถบรรลุได้ถึงระดับอนาคามี ยังคงมีกิเลสตัณหาก็ยังปรารถนาที่จะเสาะหารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่นุ่มนวล หอมหวาน สวยงามสบายตา การทำตัวเองให้ดูดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น งานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลอนดอน กิลด์ฮอลล์ ประเทศอังกฤษ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างถึง 11,000 คน พบว่า คนที่หน้าตาดี จะมีรายได้โดยเฉลี่ยแล้วสูงกว่าคนที่หน้าตาด้อยกว่า ถึง 13% และ คาร์ลอส การ์ริโด (Carlos Garrido) มหาวิทยาลัยเพนน์สเตท (Penn State University) (2013) พบว่า ริ้วรอยบนใบหน้าทำให้คนเราดูเศร้าและโกรธได้มากขึ้น ส่งผลให้ถูกตีความอารมณ์ผิดไป แน่นอนว่าไม่มีใครหลีกหนีหลักแห่งอนิจจังได้ สังขารย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา แต่สามารถยืดเวลาให้หลักอนิจจังทำงานช้าลง โดยทำได้สูงสุดถึง 15 ปีเลยทีเดียว นั่นหมายความว่า คนอายุ 50 ที่ดูแลตัวเองดีๆ สามารถย้อนวัยไปได้สูงสุดจนดูเหมือนอยู่ในวัย 35 ปี หรือคนที่อายุ 55 ก็สามารถย้อนวัยไป 40 ได้ ในความเป็นจริงแล้ว ธรรมชาติเองก็มีกลไกในการสวนทางกับหลักอนิจจัง เช่นกระบวนการสังเคราะห์แสง กระบวนการปฏิสนธิแล้วสร้างเป็นตัวอ่อน การหายของแผล ฯลฯ ซึ่งกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดการย้อนหลักอนิจจังได้ ก็คือกระบวนการทางเคมี ซึ่งปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ก็พบสารทางเคมีหลายตัว ที่สามารถช่วยให้ย้อนเวลาได้ หรืออย่างน้อยก็ทำให้แก่ช้าลง โดยสารสำคัญที่มีความสามารถในการต้านความแก่คือ กลูตาไธโอน และ เมลาโทนิน มีการวิจัยนำกลูตาไธโอนมาใช้ในการรักษาโรคต่างๆมากมาย เช่น โรคมะเร็ง พาร์คินสัน ต้อกระจก อัลไซเมอร์ โดยพบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และยังพบว่า ผู้ป่วยจะมีสีผิวที่ขาวสดใส เปล่งปลั่งขึ้น เนื่องจากมันทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว การใช้กลูตาไธโอน ต้องกระทำด้วยการฉีดเท่านั้น การรับประทานไม่ส่งผลใดๆ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระชนิดนี้ จะถูกทำลายในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ สภาวะที่มีสมาธิระดับสูงช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างกลูตาไธโอนขึ้นมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายแพทย์แอนดรูว์ ไวล์ (Andrew Weil) ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านความชราชื่อดัง ที่ได้ขึ้นปกนิตยสาร Time ถึงสองครั้ง แนะนำว่า การทำสมาธิกำหนดลมหายใจ สามารถเพิ่มปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายได้ดีกว่าการฉีดเข้าไป โดยเขาบอกว่า การตั้งสติกำหนดลมหายใจออกสำคัญมาก ตามปกติคนเราจะหายใจออกสั้นกว่าหายใจเข้า ควรกำหนดให้หายใจออกอย่างช้าๆ อย่างน้อยก็เท่ากับตอนหายใจเข้า »> ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมนั่งสมาธิบ่อยๆ แล้วผิวจะขาวขึ้น ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ส่วนเมลาโทนิน เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างกลูตาไธโอน และสารตัวนี้ช่วยในการหลับลึก ทำให้ระบบจิตใต้สำนึกและระบบปฏิบัติการอัตโนมัติทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการวิจัยพบว่าขณะนอนหลับลึก สมองสามารถลำเลียงของเสียออกจากเซลล์ได้ดีกว่าขณะตื่นถึง 10 เท่า คิดดูแล้วกันว่าจะแก่ช้าลงขนาดไหน ศาสตราจารย์ดร.ปิยะรัตน์ โกวิทตรพงศ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ประจำปี 2555 พบว่าเมลาโทนินสามารถสร้างเซลล์สมองให้ฟื้นคืนชีพได้พร้อมมีสรรพคุณรักษาโรคทางระบบประสาท เช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ คนหนุ่มสาวที่มีเมลาโทนินสูงจะแก่ช้ากว่าปกติ คนอายุ 65 จะมีปริมาณเมลาโทนินเพียงหนึ่งในสี่ ของคนอายุ 25 ปี แล้วเราจะเพิ่ม เมลาโทนิน ได้อย่างไร? การทำสมาธิให้คลื่นสมองเข้าสู่ช่วงคลื่นเดลต้า จะช่วยกระตุ้นการหลั่งเมลาโทนินได้ดีที่สุด การทานยาเม็ดเมลาโทนินไม่ช่วยให้นอนหลับได้ในสภาวะเครียด ขณะหดหู่เศร้าหมอง หรือมีอารมณ์ที่แปรปรวน ต้องอาศัยการทำสมาธิช่วย การทานเมลาโทนินในรูปของยา จะได้ผลดีเฉพาะช่วงแรกเท่านั้น เพราะหลังจากนั้น ร่างกายจะผลิตสารเหล่านี้น้อยลง ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้นเรื่อยๆ การทำสมาธิเพื่อให้ร่างกายหลั่งสารนี้เอง จึงเป็นวิธีที่ถาวรและยั่งยืนมากกว่า ทันตแพทย์สม สุจีรา ขอบคุณภาพจาก.กรุงเทพธุรกิจ