International Man
Brace Yourself: The Perfect Storm of Crises is Converging in 2023
Nick Giambruno
***ยาวไปหน่อยนะครับ อย่าเพิ่งเบื่อกัน***
โอกาสที่เราจะเจอกับอันตรายรุนแรงกว่าวิกฤตรอบนี้ไม่น่าจะมีอีกแล้ว
เพราะวิกฤตร้าย ๆ กำลังฟักตัวในหลายแนวหน้า ที่มารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง..โดยมิได้นัดหมาย
2023 เป็นปีแห่งการปรับเปลี่ยนในเรื่องที่เกี่ยวกับการเงินการลงทุนอย่างถ้วนทั่วทุกด้าน
ทั้งหมดนั้น มันมาจากต้นเรื่องเดียว ...การเสื่อมค่าอย่างรุนแรงของ currency
เป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะมาหยุดมันได้แล้ว มันเกิดแน่ในปี 2023 นี้
เทรนด์ที่กำลังเดินหน้าอยู่นี้ มันเริ่มจากการบิดเบือนที่เกิดขึ้นมานานแล้วในตลาดการเงินของโลก อย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ .....การบิดเบือนนี้ ตอนนี้กำลังคลายตัวรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ...ยิ่งบิดเบือนมาก ก็ยิ่งคลายตัวแรงมาก
เป็นการบิดเบือนที่มากซะจน ทำให้มนุษยชาติไม่รู้จัก good money แบบที่บรรพบุรุษเราเคยรู้จักในอดีต
ถึงแม้ว่าผู้คนยังคงใช้เงินอยู่ทุกวัน น้อยคนนักที่จะรู้จริง ๆ ว่ามันคืออะไร หรือรู้ว่า good money คืออะไร
ถ้าถามใครว่า "เงินคืออะไร?" ..ก็เหมือนไปถามปลาว่า "น้ำคืออะไร?"
ปลาน่ะ วัน ๆ แทบไม่ได้สังเกตุเห็นน้ำที่อยู่รอบตัวมัน นอกจากตอนที่น้ำจะเป็นพิษต่อตัวมันนั่นแหละ
money เป็นสิ่งที่ดีในตัวมันเอง มันไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ไม่ต้องฉลาดเลิศเลอใช้สูตรคำนวณที่ยุ่งยาก แบบที่พวกสื่อหรือรัฐบาลพยายามจะจูงให้เราเชื่อ
money เป็นสิ่งที่มีมูลค่าที่เราสามารถถือไว้เพื่อแลกเปลี่ยนกับทรัพย์สินอื่นที่มีค่าเทียบเคียงกันได้ หรือจะเก็บเป็น store ที่มีค่าเอาไว้ก็ได้ ...แค่นั้นแหละ
ในอดีต เคยมีการใช้ หิน ..ลูกปัด ..เกลือ ..เปลือกหอย ..ทองคำ ..ซิลเวอร์ ..สินค้าโภคภัณท์บางอย่าง มาใช้เป็น money ในช่วงเวลาต่าง ๆ
เรียกได้ว่า money เป็นตัวสะสมมูลค่าของแรงงานของมนุษย์ เหมือนการเก็บพลังงานชีวิตมา store เอาไว้
แต่ปัจจุบันนี้ มนุษย์ทั้งโลกยอมรับใน currency กระดาษเปื้อนหมึกหรือเงินดิจิตอล ที่รัฐบาลพิมพ์มาง่าย ๆ แล้วเรียกว่า money แบบไม่ต้องคิดอะไรเลย
money ไม่จำเป็นต้องกำหนดมาโดยรัฐบาล นั่นมันเป็นการเรียกแบบผิด ๆ ..และเป่ากระหม่อมให้คนเราเชื่อกันอย่างนั้น ...จนทุกวันนี้ทุกคนเชื่อสนิทใจ ว่า currency ที่รัฐบาลผลิตมานั่นน่ะ คือ money ...ตอนนี้กำลังจะมีเวอร์ชั่นใหม่เป็นดิจิตอลนะ ..รู้ยัง
ไอ้ความไว้เนื้อเชื่อใจใน currencies ที่รัฐบาลทั้งหลายผลิตขึ้นมา ที่เรายอมฝาก store พลังงานชีวิตของเราเอาไว้ให้ กำลังจะพัง ...และเราจะต้องเผชิญกับความจริง
การเสื่อมค่าอย่าวรวดเร็ว รุนแรง ของ currencies กำลังเกิดขึ้น และไม่มีใครหยุดมันได้
จากภาพของ Visual Capitalist ที่แสดงให้เห็นแล้วว่า ตอนนี้ ประชากรเกือบครึ่งโลกอาศัยอยู่ในประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงเป็นเลขสองหลัก
และแน่นอนว่า ตัวเลขในชาร์ตนั้นมันเป็นตัวเลขที่ยกเมฆขึ้นมาโดยรัฐบาลที่มักจะทำต่ำกว่าความเป็นจริง...เยอะเลยหละ ...แล้วเงินเฟ้อจริง ๆ ที่คนค่อนโลกกำลังทนแบกกันอยู่ จะเป็นยังไง
หลายคนเห็นว่ายูเอสดอลลาร์นี่แหละ เป็นสุดยอด the best ในบรรดาเงินเฟียตด้วยกัน
ขนาดตัวเลขในสถิติหลอก ๆ ที่เป็นทางการ ก็ยังยอมให้ยูเอสดอลลาร์สูญอำนาจซื้อแต่ละปีไปถึง 7-8% ..แล้วตัวเลขจริง ๆ มันจะเท่าไหร่กันล่ะเนี่ย จะเหลือหรือ
เฉลี่ยแล้ว ใครที่ถือดอลลาร์ไว้ จะสูญอำนาจซื้อไป 50% ทุก ๆ เก้าปี
นั่นนะ เรามองมันเป็น BEST case scenario แล้วนะ
แล้วใครที่ถือเงินสกุลอื่นล่ะ อาจเห็นมันละลายคามือเลยก็ได้นะ
ที่พูดมานี่ เป็นสถานการณ์ตอนนี้เท่านั้น เหมือนเพิ่งจะเอาขึ้นเมรุ ...มันยังจะเลวร้ายกว่านี้ได้อีกเยอะเลยแหละ ตอนเผาน่ะ
2023 จะเป็นปีที่การสูญค่าของ currency จะไปถึงจุดก้าวกระโดด
Michael Saylor บอกว่า "หนทางสู่ความเป็นทาส คือการทำงานที่หนักเป็นทวีคูณ เพื่อหาเงินที่กลับด้อยค่าลงแบบทวีคูณ"
Government Inflation Statistics Are Rigged
ดิกชั่นนารี่เวบสเตอร์ นิยามคำว่า inflation ว่า "การเพิ่มขึ้นของจำนวน money supply" มาแต่ไหนแต่ไร ...พอปี 2003 มันก็เปลี่ยนนิยามมาเป็น "การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า"
ข้อแตกต่างอาจฟังดูซับซ้อน แต่ไม่เลย มันเป็นการตั้งใจตบตากันน่ะ
การเปลี่ยนคำนิยามคำว่า inflation เพียงทำให้สับสนระหว่าง สาเหตุ กับ ผล ...แค่นั้นแหละ
ราคาสินค้าที่สูงขึ้นไม่ใช่ inflation ..แต่มันเป็นผลของ inflation หรือปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นมามาก ต่างหาก
พอไปเปลี่ยนคำจำกัดความเข้า ก็เหมือนสินค้าแพงขึ้นมาเฉย ๆ ...ผู้คนก็เลยไม่รู้ว่า ที่สินค้าแพงขึ้นน่ะเป็นฝีมือใคร ก็ใครล่ะ ทะลึ่งไปเพิ่มปริมาณเงิน
ถ้าเราไปนิยามคำว่า "ปล้น" ว่า "ทรัพย์สินหายไปลึกลับ" ก็เท่ากับว่าไม่มีคนร้าย
The reality is that inflation is 100% a political phenomenon.
"เงินเฟ้อ" น่ะเป็นฝีมือฝ่ายการเมืองล้วน ๆ ....ไม่ใช่พ่อค้าที่ไหนทั้งนั้น ...รัฐบาลผู้ที่ควบคุม currency นั่นแหละ
รัฐบาลเพิ่ม money supply อย่างมันมือ ง่ายกว่าการเก็บภาษีเยอะเลย ...เงินเฟ้อก็คือการเก็บภาษีเพิ่มโดยประชาชนไม่รู้ตัว
การวัดค่าเงินเฟ้อ ทำได้อยู่สองวิธี
#1. แบบที่รัฐบาลทำอยู่ อิงกับนิยามที่ว่า เงินเฟ้อคือราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น
#2. แบบที่อิงกับนิยามที่ว่า เงินเฟ้อคือการเพิ่มขึ้นของปริมาณ money supply
แบบแรกเป็นการปรับตัวเลขที่ปรับให้เป็นไปตามความต้องการของฝ่ายการเมือง และแน่นอนว่าต้องต่ำกว่าความจริง แบบที่สองจะให้ความแน่นอนมากกว่า
เมื่อเราได้ยินข่าวของเงินเฟ้อในสื่อทั่ว ๆ ไป ที่ออกจากทางรัฐบาล พวกเขาก็มักจะพูดถึงดัชนีราคาผู้บริโภค Consumer Price Index (CPI) ....CPI เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าที่เฉลี่ยน้ำหนักในตะกร้า
ไอ้วิธีวัดค่าแบบ CPI นี้ มันมีจุดบกพร่องเต็มไปหมด
อย่างแรกเลย เหมารวมราคาสินค้าทั่วไปที่สูงขึ้น มาเป็นตัวเลขชุดเดียวโดด ๆ
ราคาทุกสินค้าไม่มีทางที่จะเพิ่มขึ้นมาเป็นอัตราเดียวทั้งกระดานหรอก บางอย่างเพิ่มไปสูงและเร็วกว่าอย่างอื่นชนิดเทียบกันไม่ได้
ลองดูจากในชาร์ต จะเห็นว่าราคาที่สูงขึ้นในแต่ละอย่าง ไม่ราบเรียบเสมอกันเลย ราคาจะขึ้นอยู่กับการขาดแคลนในบางเวลาด้วย
สินค้าแต่ละชนิดในตะกร้าที่นำมาคำนวณ มีความแตกต่างกันไป ทั้งดีมานด์และซัพพลาย ....หรือแม้แต่สินค้าตัวเดียวกันในตะกร้า ก็จะมีราคาที่ต่างกันไปในลอสแองเจลิส กับในชนบทกลางทุ่งที่มอนตานาโน่น
จะมากำหนดให้ราคาสินค้าที่สูงขึ้น สรุปเป็นตัวเลขชุดเดียว ใช้กับคนสามร้อยกว่าล้านคนในประเทศ แบบที่ CPI ทำอยู่น่ะ ...มันจะดีเร้อ
**ต่อในคอมเม้น**