“เกิดเพราะกรรมหรือความซวย”
พระพุทธองค์ทรงหาวิธีสู้กับกรรมเก่ามาหลายครั้ง ตั้งแต่บำเพ็ญตบะทุกรกิริยา โดยใช้เวลาอยู่ถึง 6 ปี แต่ก็ไม่พบหนทางดับกรรม จนสุดท้าย ค้นพบเหตุแห่งกรรมดังที่ ทรงสอนไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 18 ว่า “กรรมเก่า ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ”
เจ้ากรรมนายเวรเอา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มายั่วผ่านทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อให้สัมพันธ์กับสภาพแห่งจิตและองค์ประกอบของจิต (เจตสิก) ในแต่ละคน ซึ่งเจตสิก ก็ถูกสร้างโดยเจ้าตัวกรรมเก่านั่นเอง มันแฝงอยู่ในตัวเราตั้งแต่เกิด เหมือนเชื้อเอดส์ที่แอบอยู่ไม่แสดงอาการ แต่วันไหนเหตุและปัจจัย เหมาะสม มันก็จะทำร้ายเราทันที
กรรมเก่ามันแฝงอยู่ในตัวเราอยู่ตลอดเวลา จะต่างกับเชื้อเอดส์ก็ตรงที่เชื้อเอดส์มันแฝงอยู่ในเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นระบบภูมิคุ้มกันทางรูปธรรมของร่างกาย แต่เจ้าตัวกรรม มันแฝงอยู่ในจิตซึ่งเป็นระบบภูมิคุ้มกันทางนามธรรมของร่างกาย (ภูมิคุ้มกันทางนามธรรมของร่างกายคือ “สติ” ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของจิต) เป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงยิ่ง ที่มันเข้ามาอยู่ในตัวเรา และหาเวลาทำร้ายเรา ตัวกรรมเก่าในจิตและเจตสิกรวมไปถึง DNA จะทำงานสัมพันธ์กับวิบากกรรม เหมือนกับวางแผนมาไว้อย่างดี ยกตัวอย่างเช่น เจ้ากรรมนายเวรดลใจให้เกิดความอยากไปในสถานที่แห่งหนึ่งโดยเอา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เข้ามาล่อ ทำนองเดียวกับหนูที่อยากเข้าไปในกับดักที่มีอาหารอันโอชะล่ออยู่ และเมื่อจังหวะเหมาะสม เจ้าตัวกับดักในจิต มันจะสับลงมาทันที
การจะวิเคราะห์ดูว่า เรื่องร้ายๆที่เกิดกับเราในชาตินี้ เป็นกรรมใหม่ หรือว่าเป็นกรรมเก่าของเราที่จะต้องชดใช้เพราะไปเคยทำแบบนี้ไว้ แล้วถูกตามเอาคืน ให้ดูที่ “ความรู้สึก” เพราะถ้าเป็นกรรมเก่าวิบากกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรภายนอกกับความรู้สึกที่ผุดจากกรรมเก่าในจิตใต้สำนึกจะทำงานสอดคล้องประสานกัน ถ้าเป็นกรรมใหม่ จะไม่มีเรื่องของความรู้สึกภายในซึ่งเป็นอิทธิพลของกรรมเก่าที่ฝังตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกโน้มน้าวให้เรามีความรู้สึกต่อสิ่งเร้าภายนอกในทิศทางเดียวกับที่เจ้ากรรมนายเวรต้องการให้เป็น
ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่เราขับรถไปตามท้องถนนอยู่ๆก็มีรถคันนึงขับปาดหน้าเราอย่างกระชั้นชิด ความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาขณะนั้นจะเป็นตัวชี้วัด ถ้าเรารู้สึกเฉยๆไม่ทุกข์ ไม่เกิดเวทนาใดๆ แสดงว่า การปาดหน้าครั้งนั้นเป็นเรื่องของความบังเอิญตามกฎความน่าจะเป็น แต่ถ้าเรารู้สึกแค้น เกิดเวทนา เกิดตัณหาอยากเอาคืน แสดงว่าการปาดหน้าครั้งนั้นเป็นผลมาจากกรรมเก่า ซึ่งเจตสิกจากกรรมเก่าจะก่อให้ดวงจิตขึ้นมารับอารมณ์ ในอดีตเราเคยทำแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง และถ้าจะให้หมดเวรหมดกรรม ต้องยุติเวทนา ตัณหา อุปาทาน ให้หมดไปในภพนี้ชาตินี้ นั่นก็คือการตัดกรรมนั่นเอง มิฉะนั้นก็จะเกิดการเอาคืน ปาดกันไปปาดกันมา ฆ่ากันไป ฆ่ากันมา ไม่มีที่สิ้นสุด (โปรดฟังคลิปประกอบบทความ)
คนที่มีอารมณ์ร้อนมุทะลุ โมโหง่าย โลภมาก โกรธง่าย รักง่าย หลงง่าย ก็คือคนที่มีกรรมเก่าอยู่ในจิตใต้สำนึกมากมายเต็มไปหมด ต้องระวังและรีบฝึกสติโดยด่วนก่อนที่จะสายเกินไป เพราะเพียงแค่เจ้ากรรมนายเวรสร้างเงื่อนไขแห่งวิบากขึ้นมาเพียงนิดเดียว ก็จะตกเป็นทาสของเวทนา ตัณหา อุปาทาน ทันที วิถีชีวิตก็จะถูกกำหนดให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม
สิ่งที่จะใช้วัดความแรงของกรรมได้คือ "เจตนา" ถ้าเราเคยทำกรรมเก่าที่สร้างไว้โดยขาดเจตนา การสนองของผลกรรมก็จะเบาบางมาก ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของความรู้สึก เช่น เกิดอยู่ๆ มีใครสักคนเดินเข้ามาชนเราจนล้มลง ถ้าเป็นการกระทำโดยขาดเจตนา เมื่อขอโทษขอโพยกันเรียบร้อยเราจะไม่มีความรู้สึกใดๆต่อกรรมนั้น แต่เมื่อใดก็ตามถ้าเป็นการชนโดยตั้งใจ ปฏิกิริยาตอบสนองของเราจะเปลี่ยนไปอีกแบบทันที ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน จะผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และบันทึกลงไปในจิตทันที
คำว่า “ขอโทษ” กับ “ขอบคุณ” สองคำนี้คือ Magic word “ขอโทษ” เป็นคำล้างกรรมได้อย่างชะงัด ส่วน “ขอบคุณ” เป็นคำสร้างพลังใจให้กับสิ่งดีๆที่คนอื่นทำให้กับเรา คำนี้จะฝังลงไปในจิตของเขา
ทันตแพทย์สม สุจีรา